วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2564

 แนวคิดในการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน

 การอ่านหนังสือเป็นการพัฒนาตนเองและเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมากในการพัฒนาคนและพัฒนาสังคม การอ่านหนังสือของคนไทยเป็นกิจกรรมที่ไม่แพร่หลายแม้ในหมู่ผู้รู้หนังสือแล้ว โดยเฉพาะการอ่านหนังสือที่ดีและมีสาระยิ่งมีน้อยขึ้นไปอีก สาเหตุมีอยู่หลายประการนับตั้งแต่การขาดแคลนหนังสือที่ดีและตรงกับความต้องการของผู้อ่าน การขาดแคลนแหล่งหนังสือที่จะยืมอ่านได้ ไปจนถึงการดึงความสนใจและการแย่งเวลาของสื่ออื่น ๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ ฯลฯ รวมทั้งขาดแรงจูงใจ และการชักจูง การกระตุ้น และมีนิสัยรักการอ่านทั้งในและนอกโรงเรียน เมื่อเทียบกับความเพลิดเพลินและการได้ฟังได้รู้เห็นเรื่องต่าง ๆ จากโทรทัศน์และวิทยุแล้ว การอ่านหนังสือเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวต้องใช้ความพยายามมากกว่าและต้องมีทักษะในการอ่าน ถ้าจะให้การอ่านหนังเกิดเป็นนิสัยจำเป็นต้องมีการปลูกฝังและชักชวนให้เกิดความสนใจการอ่านอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ โดยการจัดกิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักอ่าน ซึ่งควรมีลักษณะ ดังนี้

1. เร้าใจให้เกิดความยากอ่านหนังสือ

 2. ให้เกิดความพยายามที่จะอ่านเพื่อจะได้รู้เรื่องที่น่ารู้ที่มีอยู่ในหนังสือ และน่าสนุกตามกิจกรรมที่จัดขึ้น

 3. แนะนำ กระตุ้นให้อยากรู้อยากเห็นเรื่องน่ารู้ต่าง ๆ เกิดความรอบรู้ คิดกว้าง และมีการอ่านต่อเนื่องจนเป็นนิสัย

 4. สร้างบรรยากาศที่น่าอ่าน รวมทั้งให้มีวัสดุการอ่าน มีแหล่งการอ่านที่เหมาะสมและเพียงพอ

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2563

 

การศึกษาค้นคว้า

            การศึกษาค้นคว้า  หมายถึง  การหาข้อมูลความรู้เพิ่มเติมเพื่อหาคำตอบจากปัญหาใดปัญหาหนึ่ง  โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ได้รับความรู้ในเรื่องนั้นๆ  การศึกษาค้นคว้าจึงเป็นการเเสวงหาความรู้เพื่อให้ได้รับคำตอบ  หรือเพื่อนำความรู้นั้นไปใช้ในการเเก้ไขปัญหาหรือประกอบการตัดสินใจการศึกษาค้นคว้าจึงมีความสำคัญที่ช่วยให้นักเรียนมีความเข้าใจในเรื่องที่เรียนมากขึ้นเเละชัดเจนขึ้นจากการบันทึกเเละเผยเเพร่ไว้ในสื่อต่างๆ  เช่น  สื่อสิ่งพิมพ์สื่อโสตทัศนูปกรณ์  เเละสื่ออิเล็กทรอนิกส์  โดยใช้วิธีค้นหาในรูปแบบต่างๆ  ดังนี้
    
                                

            ๑.การอ่าน เป็นวิธีการศึกษาค้นคว้าที่ใช้กันมากที่สุด  เพราะสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลาที่มีหนังสือหรือเคื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อเคลือค่ายอินเทอร์เน็ตนักอ่านที่ดีจะต้องเข้าใจเนื้อหาได้มากที่สุดโดนใช้เวลาในการอ่านน้อยที่สุด
            ๒.การฟัง  เป็นทักษะสำคัญในการศึกษาเล่าเรียนของนักเรียนเเละนักศึกษา  รวมทั้งบุคคลทั่วไปที่สนใจหาความรู้จากการฟัง  เช่น  การฟังคำบรรยายในชั้นเรียน  การฟังวิทยุเพื่อการศึกษา  การฟังการสัมมนา  การฟังเทศน์เเละการบรรยานธรรมมะ  เป็นต้น
            ๓.การดู  เป็นการศึกษาเรียนรู้อีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ผู้ดูมีความรู้ในเรื่องที่ชอบเเละสนใจซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้  เช่น  การดูวิธีการปลูกต้นไม้  การดูสื่อวีดีทัศน์เกี่ยวกับการศึกษา
            ๔.การสอบถาม  เป็นการศึกษาเรียนรู้ด้วยการสอบถามจากผู้รู้  เป็นวิธีการเรียนรู้ที่ชาญฉลาดเพราะการสอบถามจากผู้รู้โดยตรงจะช่วยให้เข้าใจสิ่งที่อยากรู้ได้เเจ่มเเจ้งเเละชัดเจน
            ๕.การลงมือปฏิบัติจริง  เป็นการศึกษาเพื่อเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง  เช่น  การปลูกพืช  การเลี้ยงสัตว์  การจัดสวน  การซ่อมเเซมของใช้ในบ้าน  การจำหน่ายสินค้า

  ข้อดีของการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง

                    1.  นักเรียนสามารถกำหนดหัวข้อ หรือเนื้อเรื่องที่ต้องการศึกษาได้ด้วยตนเอง  มีอิสระในการคิดหัวข้อของการศึกษาค้นคว้าตามความสนใจ  ความถนัด และความต้องการของตนเอง

                    2.  นักเรียนสามารถวางแผนการบริหารจัดการการเรียนรู้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความสำเร็จของตนเองได้

                    3.  นักเรียนสามารถกำหนดระยะเวลาของการศึกษาเรียนรู้ (Learning pace) ได้ด้วยตนเอง

                    4.  นักเรียนมีโอกาสในการศึกษาค้นคว้าเชิงลึกตามความต้องการ และความสนใจของตนเอง

                    5.  นักเรียนได้พัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่่ 21  ได้แก่  ทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา  ทักษะการทำงานเป็นทีม  การช่วยเหลือแบ่งปัน  ทักษะการสื่อสาร  ทักษะการคิดสร้างสรรค์และผลิตนวัตกรรม  ทักษะการใช้ข้อมูลสารสนเทศ สื่อ เทคโนโลยี  ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์  และทักษะชีวิตและการรู้จักพึ่งพาตนเอง  รวมถึงทักษะการอยุู่ร่วมกันโดยสันติท่ามกลางความแตกต่างทางวัฒนธรรม และความเชื่อของบุคคล

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2563

 

การพิมพ์รายงานเชิงวิชาการ


 





กระดาษพิมพ์

          ๑.  กระดาษพิมพ์ ใช้กระดาษสีขาวขนาดมาตรฐาน A4
          ๒.  พิมพ์หน้าเดียวด้วยตัวพิมพ์สีดำขนาดมาตรฐานชนิดเดียวกันตลอดทั้งเล่ม
          ๓.  ต้องมีความประณีตทั้งในเรื่องวัสดุ  การพิมพ์  การขึ้นต้นประโยคใหม่  ไม่มีรอยขีดฆ่าขูดลบ  ไม่ควรพิมพ์ตกหรือพิมพ์เพิ่มไว้เหนือหรือใต้บรรทัด  และไม่ต้องเพิ่มลวดลาย สีสันใด ๆ
          ๔.  ควรพิมพ์โดยใช้คอมพิวเตอร์  และตัวอักษรทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ  ต้องเป็นแบบ Angsana UPC   ขนาด  ๑๖  พอยต์

รูปแบบอักษร
ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ  อักษรที่ใช้คือ Angsana UPC โดยกำหนดขนาดอักษร  ดังนี้
                   บทที่                                           ๒๐  พอยต์      (ตัวหนา)
                   ชื่อเรื่องประจำบท                              ๒๐  พอยต์        (ตัวหนา)
                   หัวข้อใหญ่ในบท(ชิดซ้ายสุด)                 ๑๘  พอยต์        (ตัวหนา)
                   อักษรหลัก                                    ๑๖  พอยต์      (ตัวธรรมดา)

การเว้นระยะในการพิมพ์
          การย่อหน้า  ให้เว้นระยะเท่ากับ ๑.๘ ซม.  หรือ ๘ ช่วงตัวอักษร  โดยเริ่มพิมพ์ช่วงอักษรตัวที่ ๙

และการพิมพ์เลขหน้า   
๑.  ส่วนที่ ๑  คือตั้งแต่ปกในถึงสารบัญ  ใช้ตัวอักษร ก  ข  ค  ง  ไปเรื่อย ๆ   (โดยยกเว้นตัวอักษร ฃ
และ ฅ) ที่กึ่งกลางหน้ากระดาษด้านบน  และให้เว้นระยะห่างจากขอบกระดาษด้านบน  ๑  นิ้ว
          ๒.  ส่วนที่ ๒  คือส่วนของเนื้อหา  ให้ใช้เลขอารบิคทั้งหมด  เช่น  1  2  3  แสดงหน้าการพิมพ์ติดต่อกันไปจนจบเนื้อหา  ให้พิมพ์ตัวเลขกำกับที่กระดาษด้านบนขวา
          ๓.  ส่วนที่ ๓  คือส่วนที่เป็นบทที่(หน้าแรกของแต่ละบท)  ไม่ต้องใส่เลขหน้า  แต่ให้นับหน้ารวมไปด้วย


การเว้นระยะขอบกระดาษ (imagination)
          กำหนดให้เว้นระยะขอบกระดาษสำหรับพิมพ์รายงาน ดังนี้
          ๑.  เว้นระยะจากขอบบนของกระดาษลงมาถึงข้อความบรรทัดแรก  ๑.๕  นิ้ว
          ๒.  เว้นระยะจากขอบล่างของกระดาษลงถึงข้อความบรรทัดสุดท้าย  ๑  นิ้ว
          ๓.  เว้นระยะจากขอบซ้ายของกระดาษถึงอักษรตัวแรกของแต่ละบรรทัด ซึ่งเรียกว่าแนวกั้นหน้า  ๑.๕  นิ้ว
          ๔.  เว้นระยะจากขอบขวาของกระดาษถึงอักษรตัวสุดท้ายของแต่ละบรรทัด ซึ่งเรียกว่ากั้นหลัง  ๑  นิ้ว
          ๕.  ส่วนที่เป็นบทที่  ของการขึ้นบทใหม่แต่ละบท ให้เว้นระยะจากขอบบนของกระดาษถึงข้อความที่เป็นบทที่ จำนวน  ๒  นิ้วเสมอ







 







 วิธีการเขียน

และการพิมพ์รายงานและวิทยานิพนธ์ สำหรับครู นักเรียน นักศึกษา

วัตถุประสงค์  

  1. คู่มือฉบับนี้จะช่วยให้การเขียนและพิมพ์เอกสาร  มีระเบียบมีมาตรฐานที่ถูกต้องตรงตามที่สถาบันกำหนด ทั้งในวิธีการเขียนและพิมพ์เอกสาร  การตรวจสอบความถูกต้องของรูปแบบการพิมพ์และคำผิดต่างๆ ที่ตรงกับหลักการของสถาบันการศึกษา
  2. แนวทางปฏิบัติเบื้องต้นในเอกสารเล่มนี้ เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องยึดถือไว้เป็นมาตรฐาน โปรดศึกษารายละเอียดจากคู่มือให้เข้าใจ ถ้ามีข้อสงสัยให้สอบถามได้ที่ศูนย์สหกิจศึกษาฯ หรือประธานอาจารย์ที่ปรึกษาสหกิจศึกษาของคณะวิชา

 

การจัดพิมพ์รายงานการปฏิบัติงานสหกิจศึกษา

เพื่อให้การจัดทำรายงานการปฏิบัติงานสหกิจศึกษาเป็นไปในแนวทางเดียวกัน นักศึกษาสหกิจศึกษาต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการจัดพิมพ์รายงาน ดังต่อไปนี้

  1. การพิมพ์
    1. กระดาษ  ให้ใช้กระดาษสีขาว ไม่มีลายเส้นบรรทัด  ขนาดกระดาษ A4 มีความหนา 80 แกรม ยกเว้นตารางหรือภาพประกอบอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้กระดาษขนาดต่างไปจากนี้ และพิมพ์หน้าเดียว
    2. ตัวพิมพ์  ให้ใช้ตัวพิมพ์เป็นตัวอักษรสีดำ โดยทำให้มีลักษณะเดียวกันตลอดทั้งเล่ม
    3. การทำสำเนา  โดยวิธีการถ่ายเอกสารหรือวิธีอื่นใดที่มีคุณภาพเทียบเคียง
       
  2. ตัวอักษร และขนาดตัวอักษร
    รายงานการปฏิบัติงานสหกิจศึกษาให้พิมพ์ได้ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ใช้รูปแบบตัวอักษร Angsana New ตลอดทั้งเล่ม โดยมีระยะห่างระหว่างบรรทัด (Line spacing) เป็นแบบ Single ขนาด (Font size) และรูปแบบตัวอักษร (Font style) ดังนี้
  • ชื่อบท และคำว่า “บทที่...”  ขนาด 20 points. ตัวพิมพ์หนา (Bold)
  • หัวข้อและหมายเลขประจำหัวข้อ  ขนาด 18 points. ตัวพิมพ์หนา (Bold)
  • หัวข้อย่อยและหมายเลขประจำหัวข้อย่อย  ขนาด 16 points. ตัวพิมพ์หนา (Bold)
  • ส่วนเนื้อเรื่อง และรายละเอียดส่วนต่างๆ  ขนาด 16 points. ตัวพิมพ์ธรรมดา (Normal)
  1. การเว้นระยะในการพิมพ์
    1. การเว้นที่ว่างริมขอบกระดาษ
      1. ขอบด้านบน 1.5  นิ้ว
      2. ขอบด้านล่าง 1 นิ้ว
      3. ขอบด้านซ้าย 1.5  นิ้ว
      4. ขอบด้านขวา 1  นิ้ว
    2. การย่อหน้าให้เว้นระยะไปจากแนวปกติ 8 ตัวอักษรโดยเริ่มพิมพ์ที่ตัวอักษรที่ 9
    3. การเว้นที่ว่างระหว่างบรรทัด  ให้เว้นที่ว่างระหว่างบรรทัดเพียง 1 บรรทัด ตลอดรายงาน  ไม่ว่าจะเว้นช่องว่างระหว่างชื่อบท และหัวข้อที่สำคัญ หรือหัวข้อย่อย
    4. การขึ้นหน้าใหม่
      1. ถ้าจะต้องขึ้นย่อหน้าใหม่ แต่มีเนื้อหาที่เหลือเพียง 1 บรรทัดในหน้าเดิมนั้น ให้ยกข้อความนั้นไปเริ่มต้นพิมพ์ใหม่ในหน้าถัดไป
      2. กรณีที่พิมพ์ถึงบรรทัดสุดท้ายของหน้า แต่มีข้อความเหลืออีกไม่เกิน 1 บรรทัด จนจบย่อหน้าเดิม ให้พิมพ์ต่อไปจนจบข้อความย่อหน้านั้น จึงขึ้นย่อหน้าในหน้าถัดไป
         
  2. การจัดตำแหน่งข้อความในหน้ากระดาษ
    การจัดพิมพ์รายละเอียดในส่วนเนื้อเรื่อง โดยทั่วไปควรจัดตำแหน่งข้อความให้ชิดขอบ (Distributed) เพื่อความสวยงาม ทั้งนี้ให้คำนึงถึงความถูกต้องของข้อความ และความเหมาะสมด้านภาษา ไม่ควรแยกพิมพ์ข้อความ เช่น คำว่า “สหกิจศึกษา”แยกกัน เช่น “สห”อยู่บรรทัดหนึ่ง และ “กิจศึกษา”อยู่อีกบรรทัดหนึ่ง และไม่ควรเว้นช่องว่างระยะห่างของข้อความให้ห่างกันเกินไป
     
  3. การพิมพ์เลขลำดับหน้า
    1. ส่วนนำเรื่อง ในการลำดับหน้าส่วนนำเรื่อง คือ ตั้งแต่หน้าปกใน ไปจนถึงหน้าสุดท้ายก่อนถึงส่วนเนื้อเรื่อง ให้ใช้ตัวเลขอารบิคในเครื่องหมายวงเล็บกลม เช่น (1) (2).....
    2. ส่วนเนื้อเรื่อง การลำดับหน้าส่วนเนื้อเรื่องเป็นต้นไป ให้ใช้ตัวเลขอารบิค 1,2,3.... ตามลำดับ  โดยในหน้าแรกของเนื้อหาแต่ละบท ไม่ต้องพิมพ์เลขหน้า แต่ให้นับจำนวนหน้าด้วย
    3. การจัดวางเลขหน้าทั้งส่วนนำ และส่วนเนื้อเรื่อง ให้พิมพ์ไว้ที่มุมบนขวาของหน้ากระดาษ   ห่างจากขอบบน 0.5 นิ้ว และขอบกระดาษขวา 1 นิ้ว
       
  4. การแบ่งบท และหัวข้อในบท
    1. การแบ่งบท  เมื่อขึ้นบทใหม่ต้องขึ้นหน้าใหม่เสมอ ให้พิมพ์คำว่า “บทที่...”แล้วให้พิมพ์ชื่อบทในบรรทัดถัดมา และจัดตรงกลางหน้ากระดาษ
    2. หัวข้อในบท ให้พิมพ์ชิดขอบด้านซ้ายของกระดาษ กรณีมีหัวข้อย่อยให้พิมพ์เว้นระยะเข้าไปจากหัวข้อจัดตามความสวยงาม
       
  5. การพิมพ์ตัวเลข 
    ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขในเนื้อเรื่องหรือตัวเลขลำดับหน้า  การแบ่งบท   และหัวข้อ ให้ใช้ตัวเลขอารบิคเป็นลักษณะเดียวกันโดยตลอด
     
  6. การพิมพ์ และการนำเสนอภาพประกอบต่างๆ
    1. ภาพประกอบ ได้แก่ แผนผัง แผนภูมิ กราฟ ภาพถ่าย ภาพเขียน ฯลฯ ให้พิมพ์ไว้ใต้ภาพ        โดยพิมพ์คำว่า “ภาพที่...”แล้วระบุลำดับที่ของภาพโดยใช้ตัวเลขอารบิค เช่น ภาพที่ 1.1 และกำหนดรูปแบบ ตัวอักษรแบบตัวหนา จากนั้น เว้น 3 ช่วงตัวอักษรแล้วพิมพ์ชื่อภาพหรือคำอธิบายภาพโดยใช้ตัวพิมพ์ธรรมดา จัดให้อยู่กลางหน้ากระดาษ
    2. หากคำอธิบายภาพยาวกว่า 1 บรรทัด ให้แบ่งเป็น 2-3 บรรทัด ตามความเหมาะสม โดยให้อักษรตัวแรกของข้อความในบรรทัดที่ 2 หรือ 3 ตรงกับอักษรตัวแรกของชื่อภาพ หรือคำอธิบายภาพในบรรทัดแรก
       
  7. การพิมพ์ และการนำเสนอตาราง
    1. ขนาดของตาราง ไม่ควรเกินกรอบของหน้ากระดาษ ตารางที่มีความกว้างจนไม่สามารถบรรจุลงในกระดาษหน้าเดียวได้ ให้พิมพ์ตามขวางโดยมีเลขที่ตารางและคำว่า ต่อ ในเครื่องหมายวงเล็บกลม  เช่น ตาราง 1 (ต่อ)
    2. การพิมพ์ลำดับที่ และชื่อของตาราง ให้พิมพ์คำว่า “ตารางที่...”ชิดริมซ้ายมือให้ตรงกับ         ขอบซ้ายของตัวตาราง แล้วระบุลำดับที่ของตารางโดยใช้ตัวเลขอารบิค เช่น “ตารางที่ 1.1” และกำหนดรูปแบบตัวอักษรเป็นตัวหนา จากนั้นให้เว้น 3 ช่วงตัวอักษร แล้วพิมพ์ชื่อตารางโดยใช้ตัวอักษรแบบธรรมดา กรณีที่ชื่อตารางยาวเกินกว่า 1 บรรทัด ให้แบ่งเป็น 2-3 บรรทัด ตามความเหมาะสม

 

ส่วนประกอบการเขียนและการพิมพ์  แบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ดังนี้

  1. ส่วนนำ
    เป็นแนวทางการจัดทำส่วนต้นของเล่ม มีส่วนประกอบดังนี้
    1. ปกนอก จะเป็นปกกระดาษแข็งสีตามคณะวิชากำหนด  ขนาด 16-24 ตามความเหมาะสมสันปกจะมี  ชื่อเรื่อง อักษรย่อปริญญา และปี พ.ศ.
    2. ปกในหน้าอนุมัติ ประกอบด้วย หัวข้อชื่อเรื่อง,  ชื่อ-นามสกุล ตามด้วยชื่อย่อปริญญาและระบุสาขาวิชาในวงเล็บ, ลงชื่อตำแหน่งประธานและกรรมการ
    3. บทสรุปเป็นการสรุปผลการค้นคว้า ความยาวไม่ควรเกิน 2 หน้า พร้อมรูปประกอบการปฏิบัติงานตามรูปแบบที่สถาบันกำหนด
    4. กิตติกรรมประกาศเป็นการแสดงความขอบคุณ เขียนไม่เกิน 2 บรรทัด
    5. สารบัญเป็นรายการแสดงส่วนประกอบที่สำคัญทั้งหมดของเล่ม
    6. รายการตาราง เป็นการแจ้งตำแหน่งหน้าตารางทั้งหมดที่มีอยู่ในเล่ม
    7. รายการรูปประกอบ เป็นการแจ้งตำแหน่งหน้าของรูปประกอบทั้งหมดที่มีอยู่ในเล่ม
    8. รายการสัญลักษณ์ เป็นการอธิบายสัญลักษณ์ต่างๆในเล่ม (ถ้ามี)
    9. ประมวลศัพท์และคำย่อ จะใช้อธิบายขยายความในเล่ม (ถ้ามี)
       
  2. เนื้อความ
    ในการเขียนและพิมพ์เนื้อความ  สามารถเลือกใช้ได้ทั้งภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ เนื้อความมีทั้งหมด 5 บท ประกอบด้วยเนื้อหาดังนี้
    1. บทที่ 1  บทนำ
      1. ชื่อและที่ตั้งของสถานประกอบการ
      2. ลักษณะธุรกิจของสถานประกอบการ หรือการให้บริการหลักขององค์กร
      3. รูปแบบการจัดองค์กรและการบริหารองค์กร 
      4. ตำแหน่งและหน้าที่งานที่นักศึกษาได้รับมอบหมาย
      5. พนักงานที่ปรึกษา และ ตำแหน่งของพนักงานที่ปรึกษา
      6. ระยะเวลาที่ปฏิบัติงาน
      7. วัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติงานหรือโครงงานที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานสหกิจศึกษา
      8. ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการปฏิบัติงานหรือโครงงานที่ได้รับมอบหมาย
         
    2. บทที่ 2  ทฤษฎีและเทคโนโลยีที่ใช้ในการปฏิบัติงาน
      โดยการศึกษาจาก แนวคิดและทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับประเด็นของโครงงานในการศึกษาเทคโนโลยี  ที่ใช้ในการปฏิบัติงาน  ซึ่งอาจจะได้มาจากบทความ  ตำราวิชาการ  งานวิจัย งานวิทยานิพนธ์ ฯลฯ
       
    3. บทที่ 3 แผนงานการปฏิบัติงานและขั้นตอนการดำเนินงาน
      1. แผนงานปฏิบัติงาน
      2. รายละเอียดงานที่นักศึกษาปฏิบัติในงานสหกิจศึกษา หรือรายละเอียดโครงงานที่ได้รับมอบหมาย
      3. ขั้นตอนการดำเนินงานที่นักศึกษาปฏิบัติงานหรือโครงงาน 
         
    4. บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน  การวิเคราะห์และสรุปผลต่าง ๆ
      1. ขั้นตอนและผลการดำเนินงาน
      2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
      3. วิเคราะห์และวิจารณ์ข้อมูลโดยเปรียบเทียบผลที่ได้รับกับกับวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายในการปฏิบัติงานหรือการจัดทำโครงการ
         
    5. บทที่ 5 บทสรุปและข้อเสนอแนะ
      1. สรุปผลการดำเนินงาน
      2. แนวทางการแก้ไขปัญหา
      3. ข้อเสนอแนะจากการดำเนินงาน

บรรณานุกรม

ภาคผนวก

อ้างอิง
การจัดทำรูปเล่มจะต้องมีรายการเอกสารอ้างอิง  ประกอบด้วย ชื่อผู้แต่ง ปีที่พิมพ์ รายชื่อบทความ จากวารสาร หรือ รายงานการประชุมทางวิชาการ ชื่อหนังสือ หรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ สถานที่พิมพ์ สำนักพิมพ์ที่ใช้ในการค้นคว้าประกอบทำรูปเล่ม

  1. ภาคผนวก
    เป็นส่วนประกอบเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น  แต่ไม่เหมาะที่จะรวบรวมไว้ในส่วนเนื้อความ เพราะจะทำให้ยืดเยื้อ
     
  2. ประวัติผู้วิจัย
    ให้เขียนประวัติของนักศึกษา  โดยมีความยาวไม่เกิน 1 หน้ากระดาษ ประกอบด้วย
    1. ชื่อ-นามสกุล
    2. วัน เดือน ปีเกิด
    3. ประวัติการศึกษา
    4. ทุนการศึกษา (ถ้ามี)
    5. ประวัติการทำงาน (ถ้ามี)
    6. ผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ (ถ้ามี)

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการเขียนรายงาน

              การเขียนรายงาน คือผลของการศึกษาค้นคว้าเรื่องใดเรื่องหนึ่งซึ่งเรียบเรียงขึ้นอย่างมีขั้นตอนจะเขียนหรือพิมพ์ขึ้นให้ถูกต้องตามแบบแผนที่กำหนด การทำรายงานสามารถทำเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มและถือว่ารายงานเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินผลการศึกษาด้วย

               ประเภทของการเขียนรายงาน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ คือ

               1.รายงานการค้นคว้าทั่วไป
               2.รายงานการค้นคว้าวิจัย แยกได้เป็น 2 ชนิด
               2.1 การวิจัยทั่วไป
               2.2 วิทยานิพนธ์ หรือปริญญานิพนธ์

               ประเภทของการนำเสนอรายงาน
              1. การนำเสนอปากเปล่า
              2. การนำเสนอเป็นลายลักษณ์อักษร

              ลักษณะของการเขียนรายงานที่ดี
             1. ผู้เขียนได้ศึกษาอย่างจริงจัง กว้างขวาง และถี่ถ้วนตามหัวข้อที่กำหนด
                 ต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายลักษณะรวมกัน
                 - ผู้เขียนมีความเข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องที่เขียน
                 - มีแนวทางที่แก้ปัญหาที่กำลังศึกษาอยู่
             2. ผู้เขียนมีความคิดเห็นไปตามลำดับ อันเหมาะสมและต่อเนื่องสัมพันธ์กันเป็นอันดี เมื่อกล่าวถึงสิ่งใดจะมีหลักฐานอ้างอิงอย่างพอเพียง และสมเหตุสมผล ตลดจนมีความสามารถในการกลั่นกรอง และสรุปความรู้ความคิดที่ได้จากแหล่งต่างๆ
             3. ผู้เขียนได้มีความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นของตนเอง
             4. แสดงหลักฐานที่มาที่ถูกต้องทันสมัย
             5. ใช้ภาษาได้ผลตามจุดมุ่งหมาย และเป็นภาษาที่นิยมใช้กันโดยทั่วไป


             

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558




ลักษณะการเขียนรายงาน


การเขียนรายงานที่ดี

ลักษณะของรายงานที่ดี
รายงานที่ดีควรมีลักษณะที่ดีดังนี้
1. แสดงให้เห็นว่าผู้เขียนได้ศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง กว้างขวาง และมีเนื้อเรื่องครบถ้วนตามหัวข้อที่กำหนด
2. มีความถูกต้องเที่ยงตรง และแม่นยำ
3. ต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน
4. ผู้เขียนแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเรื่องที่กำลังศึกษาอยู่
5. แสดงว่าผู้เขียนมีความเข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องที่เขียน อาจจะเป็นแนวทางสำหรับการศึกษาค้นคว้าเรื่องนั้นให้กว้างขวางและลึกซึ้งต่อไป
6. มีแนวทางที่แก้ไขปัญหาที่กำลังศึกษาอยู่
7. จัดเรียงลำดับของเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง มีความสัมพันธ์กันเป็นอย่างดี เมื่อกล่าวถึงสิ่งใดก็มีหลักฐานอ้างอิงอย่างเพียงพอ สมเหตุสมผล ตลอดจนมีความสามารถในการกลั่นกรองและสรุปความรู้ความคิดได้จากแหล่งต่างๆ
8. แสดงให้เห็นว่าผู้เขียนมีความคิดสร้างสรรค์เป็นของตนเอง
9. แสดงหลักฐานที่มาอย่างถูกต้องและละเอียดถี่ถ้วน
10. ใช้ภาษาได้ถูกต้องได้ผลตามจุดมุ่งหมาย และเป็นภาษาที่นิยมใช้กันโดยทั่วไป

การใช้ภาษาในการเขียนรายงาน
ภาษาที่ใช้ในการเขียนรายงานต้องใช้ภาษาที่เป็นทางการ พึงระมัดระวังในเรื่องของการสะกด เครื่องหมาย การแบ่งวรรคตอน การจัดเรียงรูปประโยคที่ถูกต้อง หลักในการเขียนรายงาน สามารถสรุปได้ดังนี้

1. การใช้คำในภาษาไทย
 ใช้คำในภาษาราชการ ไม่ใช้ภาษาพูด และให้เป็นคำภาษาไทยมากที่สุด
 ใช้คำที่สามารถเข้าใจได้ง่าย ไม่ใช้คำที่ต้องมีการแปลความหมายอีกครั้งหนึ่ง
 ในการอธิบายความต้องเลือกใช้คำที่มีความหมายสอดคล้องตรงกับความเป็นจริง
 เลือกใช้คำที่มีความหมายชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิด
 ไม่ใช้คำภาษาถิ่น คำผวน คำสแลง หากจำเป็นต้องใช้ต้องมีคำอธิบายกำกับ
 ไม่ใช้คำที่ไม่สื่อความหมาย
 ไม่ใช้คำย่อต้องเขียนเป็นคำเต็ม
 ไม่ใช้เครื่องหมายแทนคำพูด
 เมื่อต้องใช้ศัพท์ทางวิชาการ ควรเลือกใช้ศัพท์บัญญัติของราชบัณฑิตยสถาน

2. การใช้คำในภาษาอังกฤษ
 ถ้าเป็นคำที่ใช้กันแพร่หลายในภาษาไทยอยู่แล้ว ให้เขียนเป็นภาษาไทยโดยไม่ต้องมีคำภาษาอังกฤษกำกับ

 ถ้าเป็นคำใหม่ ศัพท์บัญญัติ ศัพท์วิชาการที่เขียนศัพท์ในการใช้ครั้งแรกให้กำกับคำภาษาอังกฤษไว้ในวงเล็บ และไม่ต้องกำกับอีกเมื่อใช้ครั้งต่อไป